วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

4 ความกลัวที่จะเข้ามาปิดกั้นความเป็นอิสระภายในปี 2025 นี้

4 ความกลัวที่จะเข้ามาปิดกั้นความเป็นอิสระภายในปี 2025
ความกลัวนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาทุกยุคสมัยครับ ในยุคปัจจุบันที่เราเข้าสู่ยุคออนไลน์กันนั้นความกลัวก็ได้เปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ตามครับ เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้เรามีอิสระกันอย่างเต็มที่ในการเข้าถึงข้อมูล, แชร์, โพส ฯลฯ สิ่งต่างๆ บนโลกออนไลน์ ซึ่งนั่นถือเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวครับ ทาง Pew Research Center จึงได้ทำการสำรวจเพื่อทำการวิเคราะห์ถึงอนาคตว่าในปี 2025 ที่จะถึงนี้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารออนไลน์นั้นจะมีความแต่างไปจากในปัจจุบันหรือไม่อย่างไร
โดยได้ทำการถามคำถามที่ให้ตอบแค่ Yes และ No โดยคำถามที่ว่านั้นก็คือ คุณคิดว่าในปี 2025 นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เลวร้ายหรืออุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงโลกออนไลน์แตกต่างไปจากในยุคปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้นน่าตกใจพอสมควรครับ เพราะ 35% ตอบว่าใช่ แต่อีก 65% นั้นตอบว่าไม่ โดยทาง Pew ก็ได้ถามถึงเหตุผลที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นและสรุปออกมาเป็นความกลัว 4 อย่างที่จะมีผลให้การเข้าถึงโลกออนไลน์ต่างไปจากปัจจุบันดังนี้ครับ
1. กลัวที่รัฐบาลจะปิดกั้นการเข้าถึงเว็บเปิดทั้งหลาย
เรื่องของการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นครับ แต่ทว่าเป็นเหมือนกันทั่วโลก โดยรัฐบาลในหลายๆ ประเทศต่างก็มีนโยบายในการปิดกั้นเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกับแต่ละประเทศนั้นๆ ครับ(ขนาดประเทศอิสระอย่างสหรัญอเมริกายังมีการปิดกั้นเลยครับ) ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นการสร้าง Great Firewall ของประเทศจีนที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ในปี 2012 ที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตในจีนนั้นถูกปิดกันไปมากมายครับ ผู้ที่ตอบคำถามของ Pew นั้นต่างก็แสดงความกังวลครับว่าการปิดกั้นนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ทำให้ในท้ายที่สุดก็ขาดซึ่งอิสระในการออนไลน์ไปโดยปริยายครับ
2. กลัวในเรื่องของความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์
ความกลัวอันดับที่ 2 นี้ไม่ว่าใครก็เป็นกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การสื่อสารไปได้อย่างรวดเร็วอย่างเช่นในปัจจุบันนี้(และในปี 2025 จะขนาดไหน) ความเป็นส่วนตัวนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้อยู่บนโลกออนไลน์ให้ความสนใจครับ แน่นอนว่ายิ่งการสื่อสารก้าวไกลไปได้รวดเร็วมากเท่าไร ความเป็นส่วนตัวของเราก็หมดลงเร็วเท่านั้นดังจะเห็นได้จากหลายๆ ตัวอย่างของผู้ที่มีชื่อเสียงที่การโพสอะไรลงไปบนโลกออนไลน์นั้นไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป ความกลัวเรื่องความเป็นส่วนตัวนี้จะทำให้คนใช้งานโลกออนไลน์กันน้อยลงครับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้น Social Network ต่างๆ ที่จะมียอดผู้ใช้งานน้อยลง(ย่อมทำให้รายได้ของบริษัทลดลงตามไปด้วย)
3. กลัวในเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ ที่เปิดกล้างขึ้นจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต
ความกลัวอันดับที่ 3 นั้นผู้ใช้ทั่วไปอาจจะไม่ค่อยกังวลกันสักเท่าไรนักครับ แต่ผู้ที่จะกังวลมากก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เช่นค่ายเพลง, ค่ายหนัง ฯลฯ ยิ่งเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเร็วมากขึ้นเท่าไร การละเมิดลิขสิทธิ์ก็เร็วมากขึ้นเท่านั้นครับ ความกลัวนี้อาจจะทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่กล้าที่จะเผยแพร่ผลงานลงบนโลกออนไลน์อีกต่อไป ซึ่งนั่นจะทำให้คอนเทนท์ต่างๆ บนโลกออนไลน์ลดลงเป็นเงาตามตัว ในท้ายที่สุดผู้คนก็จะเลิกใช้โลกออนไลน์กันไปนั่นเองครับ
4. กลัวที่จะได้รับข้อมูลมากเกินไป
อันดับสุดท้ายกับความกลัวที่จะได้รับข้อมูลที่มากเกินไปครับ ไม่ต้องรอให้ถึงในปี 2025 แต่ในยุคปัจจุบันนี้เราก็เห็นกันได้อย่างชัดเจนครับ เพราะข้อมูลในโลกออนไลน์นั้นสามารถที่จะสร้างขึ้นมาจากใครก็ได้ โดยอาจจะไม่มีผู้ที่ทำการตรวจสอบความถูกต้องนั้น ทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารได้รับข้อมูลผิดพลาด ยิ่งถ้าข้อมูลนั้นกระจายไปเร็วเราก็จะยิ่งเห็นได้ว่าความผิดพลาดของการที่มีข้อมูลมากจนเกินไปนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายครับ(ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนอย่างเรื่องของ Forward Mail ต่างๆ เป็นต้น)
จาก 4 ข้อที่กล่าวมานี้ก็เป็นความกลัวที่เป็นเหตุผลหลักที่ผู้คนที่ให้สัมภาษณ์ Pew Research Center ให้เป็นเหตุผลประกอบครับว่าในปี 2025 นั้นเราจะไม่สามารถใช้งานโลกออนไลน์ได้อิสระดังเช่นในปัจจุบัน ทั้งนี้ข้อมูลนี้ก็ไม่ได้เป็นการทำนายโลกออนไลน์ในอนาคตแต่อย่างใดนะครับ เป็นเพียงข้อมูลที่ใช้ประกอบเหตุผลในคำตอบ คุณคิดว่าในปี 2025 นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เลวร้ายหรืออุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงโลกออนไลน์แตกต่างไปจากในยุคปัจจุบันหรือไม่ ที่ผู้ตอบตอบว่าไม่เท่านั้น
ที่มา : theverge
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เหลือเชื่อ OPPO Find 7 “ชัดจนเห็นความจริง”

“ชัดจนเห็นความจริง”
สาเหตุของความวุ่นวายต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากการที่เรามองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน บางครั้งหลักฐานที่เรามีอยู่ก็เป็นแค่ภาพใหญ่ๆ ที่ไม่ได้มีรายละเอียดของภาพนั้นซึ่งในรายละเอียดที่ว่าเราอาจได้พบความจริงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ยิ่งในยุคปัจจุปันที่ภาพถ่ายมากมายถูกถ่ายจากสมาร์ทโฟนถ่ายภาพ แน่นอนว่าหากเป็นที่ถ่ายภาพทั่วๆ ไปสมาร์ทโฟนสามารถถ่ายภาพของมาได้ดี แต่หากเป็นภาพที่ต้องการรายละเอียดมากๆ เช่น หลักฐานตัวอักษรในภาพ ภาพที่ได้ออกมาอาจจะไม่แสดงอะไรให้เราได้เห็นเลย
เช่นเดียวกับการมองอะไรด้วยตาเปล่านั้น มันก็ไม่สามารถการันตรีความชัดเจนของเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้และเรายังไม่สามารถย้อนไปดูเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องราว เช่นใด ทำให้การบันทึกภาพเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเราอยากได้หลักฐานอะไรสักเรื่องหนึ่งมาประกอบเรื่องราวขึ้นมา
หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือเหตุการณ์ที่เราจะเห็นภาพได้ชัดๆ เช่น ถ้าเรากำลังดูการแข่งขันในสนามแข่งขันอยู่อย่างใจจดจ่อ แต่สนามส่วนใหญ่มักจะห่างจากตัวสนามพอสมควรใช่ไหมครับ บางทีมันเกิดเหตุการณ์แบบ 50-50 หรือมีผู้ผิดกติกาหรือแม้แต่ทำคะแนนได้ ซึ่งถ้าเราอยู่บนที่นั่งไกลบางทีก็ไม่อยากเชื่อคำตัดสินกรรมการ เคยเป็นมั้ยครับเพราะรู้สึกตัดสินไม่ยุติธรรม เค้าถึงได้ต้องมีกล้องที่สามารถซูมภาพเหตุการณ์ได้ในระยะไกลกันไงล่ะครับ ซึ่งสายตาคนเราคงไม่ยาวไกลเหมือนกล้องที่ถ่ายซูม ซึ่งจะทำให้เห็นทุกรายละเอียดของเหตุการณ์นั้นแบบใกล้ๆ เราก็สามารถบอกข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นั้นๆ ได้
หรือถ้าเราอยากถ่ายภาพวัตถุเล็กๆ ที่มีความคมชัดสูงอย่าง เช่น แมลงตัวเล็กๆสวยงาม พวกนี้ถ้าใครเคยจับภาพผีเสื้อหรือแมลงทับจะทราบครับว่ามันเก็บรายละเอียดยากมาก บางทีถ่ายออกมาแล้วรู้สึกไม่สวยเหมือนแบบที่ตาเรามองเห็น พวกนี้นะครับต้องใช้กล้องที่มีความสามารถซูมที่ยอดเยี่ยมจะช่วยให้คุณเก็บรายละเอียดของภาพ สัดส่วนต่างๆ ของตัวแมลงได้อย่างครบถ้วน ชัดเจนแถมถ้ามีพกเซลมากๆ ก็ยังสามารถให้รายละเอียดที่หน้าตื่นตาตื่นใจ และสามารถใช้ประกอบการศึกษาธรรมชาติได้ด้วย
แล้วสิ่งที่จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนคืออะไร มันก็คือสิ่งที่เป็นอุปกรณืที่เราสามารถใช้ถ่ายทอดภาพที่มีความละเอียดสูงจริงเก็บหลักฐานได้อย่างครบถ้วน อย่างกล้องที่สามารถถ่ายทอดพิกเซลได้สูงๆ เช่น กล้องที่สามารถถ่ายภาพระดับ 50 ล้านพิกเซลนั้นก็สามารถขยายภาพให้ใหญ่ แถมยังสามารถซูมภาพได้ 4 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียดภาพและยังถ่ายภาพได้ละเอียดกว่า 50 ล้านพิกเซลให้รายละเอียดสุดคมชัด เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน และนอกจากนั้นยังสามารถซูมภาพที่หากเป็นสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไปจะเป็นการซูมด้วยโปรแกรมที่เรียกว่าดิจิตอลซูม เมื่อซูมแล้วรายละเอียดภาพก็จะนะแตกจะไม่สามารถเห็นรายละเอียดของภาพได้ชัดเจนนักเหมือนในของ  ที่มีฟังก์ชั่นพวกนี้อยู่แล้ว แต่หากเป็นระบบซูมที่ดีจะไม่ทำให้รายละเอียดของภาพแตกไปช่วยให้ภาพยังคงความคมชัดอยู่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากค้นหาหลักฐานที่ชัดเจนในภาพถ่ายสักภาพหนึ่งเราต้องเตรียมการให้พร้อมไม่ว่ามุมมองที่เราจะค้นหา หรืออุปกรณ์ที่จะให้บันทึกภาพ เพื่อที่เรื่องราวและรูปภาพของคุณจะไม่พลาดรายละเอียด จุดสังเกตสำคัญๆ ของภาพได้...
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

OPPO Find 7 Vs Galaxy S5 หมัดต่อหมัด

เปรียบเทียบ 2 สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงตัวแรง  และ Samsung Galaxy S5
สำหรับตลาด สมาร์ทโฟน ระดับไฮเอนด์ ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีหลายรุ่นที่กำลังเป็นที่สนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะมี สเปค ที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แต่ละรุ่น มีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หรือ ซื้อรุ่นใดจึงจะคุ้มค่าต่อการใช้งานของเรามากที่สุด ซึ่งสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ ที่โดดเด่นที่สุดในตอนนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้น OPPO Find 7 และSamsung Galaxy S5 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่นนี้ถูกสร้างมารองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งคู่ แต่จะมีความแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน มาชมกัน
เริ่มจากคุณสมบัติในเรื่องของหน่วยประมวลผล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นเลือกใช้ซีพียูแบบเดียวกัน นั่นก็คือ Quad-Core Processor (ชิปเซ็ต Qualcomm MSM8974AC Snapdragon 801) ความเร็ว 2.5 GHz โดย Samsung Galaxy S5 มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB ส่วน OPPO Find 7 มาพร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB ซึ่งแรงกว่า นอกจากนี้ Samsung Galaxy S5 มาพร้อมกับหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB ส่วน OPPO Find 7 มาพร้อมหน่วยความจำภายในตัวเครื่องที่เยอะจุใจถึง 32 GB เลยทีเดียว แต่ทั้ง 2 รุ่น สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD card ได้สูงสุด 128 GB
ต่อมาเป็นคุณสมบัติของหน้าจอแสดงผลกันบ้าง โดย Samsung Galaxy S5 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.1 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล หรือแบบ Full HD ส่วน OPPO Find 7 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล หรือความละเอียดระดับ 2K ซึ่งถือว่า เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในไทยที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดแบบ QHD อีกด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากใช้งานโดยทั่วไป ความละเอียดหน้าจอทั้ง 2 แบบนี้ จะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าหากเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น ดูหนัง หรือเล่นเกม จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนครับ
และสิ่งที่เป็นจุดเด่น สำหรับ Samsung Galaxy S5 ที่ OPPO Find 7 ไม่มี ก็คือ คุณสมบัติในการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 นั่นเอง นอกจากนี้ Samsung Galaxy S5 ยังมาพร้อมกับ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่ม Home รวมถึงการใช้งานที่เน้นด้านสุขภาพเป็นหลัก ด้วย เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น S Health อีกที
มากันที่อุปกรณ์ประจำสมาร์ทโฟน ที่ทุกท่านต้องใช้งานกันเป็นประจำ นั่นก็คือ กล้องดิจิตอล นั่นเอง ซึ่งในระยะหลัง สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ ต่างชูจุดเด่นในเรื่องของกล้องเป็นหลักเช่นกัน โดย Samsung Galaxy S5 มาพร้อมกับกล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับถ่ายวิดีโอระดับ 4K และโหมดการถ่ายภาพที่มีลูกเล่นมากมาย
ส่วน OPPO Find 7 ถึงแม้จะมาพร้อมกล้องด้านหลัง ที่ความละเอียดน้อยกว่า อยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล แต่ชูจุดเด่นในเรื่องของฟังก์ชันที่มีชื่อว่า Super Zoom ที่สามารถสร้างภาพความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล ด้วยการถ่ายภาพ 10 ภาพแล้วนำรายละเอียดของภาพรวมเป็นภาพเดียว ซึ่งภาพความละเอียดระดับนี้ สามารถนำไปปรินท์ภาพบิลบอร์ดได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว
สำหรับเรื่องของระบบปฏิบัติการ แม้ว่า OPPO Find 7 จะฉีกแนวด้วยการพัฒนา OS ของตนเอง ที่มีชื่อว่า Color OS เวอร์ชัน 1.2 แต่ก็มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (Jelly Bean) ซึ่งถือว่า เป็นเวอร์ชันที่เก่ากว่า Samsung Galaxy S5 ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 (KitKat) ซึ่งในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ส่วนใหญ่ จะอัพเดทเป็น KitKat กันเสียหมดแล้ว ซึ่งถือว่า เป็นจุดด้อยของ OPPO Find 7 เลยก็ว่าได้ครับ
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทั้ง Samsung Galaxy S5 และ OPPO Find 7 ต่างก็มีคุณสมบัติ และความสามารถโดยรวมที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ราคาจำหน่ายของ Samsung Galaxy S5 จะสูงกว่า OPPO Find 7 อยู่เล็กน้อย ซึ่งสาเหตุหลัก น่าจะเป็นเพราะ Samsung Galaxy S5 มีคุณสมบัติในการกันน้ำ และกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 และรองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วยนั่นเอง
โดยราคาของ Samsung Galaxy S5 อยู่ที่ 23,800 บาท ส่วนราคาของ OPPO Find 7 อยู่ที่ 19,990 บาท นอกจากนี้ ทางออปโป้ ยังมีอีกทางเลือก นั่นก็คือ OPPO Find 7a ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ OPPO Find 7 แต่จำหน่ายในราคาเพียง 15,990 บาทเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วท่านผู้อ่านจะตัดสินใจเลือกซื้อรุ่นไหน
ทางที่ดี หากมีโอกาสก็ลองแวะไปที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใกล้ๆ บ้านเพื่อลองสัมผัส และลองใช้งานกับตัวเครื่องจริงๆ ของทั้ง 2 รุ่นเสียก่อน เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น รวมถึงได้รุ่นที่ถูกใจ และคุ้มค่ากับเงินที่ท่านต้องจ่ายมากที่สุดนั่นเองครับ
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ จาก Thaimobilecenter