วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พาทัวร์ Facebook HQ พร้อมสัมภาษณ์คนไทยที่ทำงาน ณ Silicon Valley

พาทัวร์  HQ พร้อมสัมภาษณ์คนไทยที่ทำงาน ณ Silicon Valley
Facebook อีกบริษัทที่หลายๆคนไอทีอยากจะเข้าไปทำงาน สัมผัสประสบการณ์การทำงานเบื้องหลังที่มาของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ ที่สุดในโลกตอนนี้ ปัจจุบันสำนักงานใหญ่ของ Facebook มีจำนวนพนักงานราว 7,200 คน1 แบ่งเป็นพนักงานทั่วไป และบุคลากรสายเทค ซึ่งเปิดรับคนจากทั่วโลก ไม่ได้จำกัดแค่ชนชาติตะวันตกเท่านั้น และในบุคลากรสายเทคนี้คิดเป็นคนเอเชียราว 41%2 และรู้หรือไม่ว่ามีคนไทยรวมอยู่ในนี้ด้วย
เมื่อตอนที่ไปอเมริกาเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปคุยกับคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่ Facebook ซึ่งเค้าจะมาเล่าประสบการณ์การทำงานในบริษัทในฝันของใครหลายๆคนให้เราฟังกัน ครับ
แนะนำตัวหน่อย เป็นใครจบจากที่ไหน ทำอะไรก่อนมาทำที่ Facebook บ้าง
ผมชื่อ โต้ ธาวัน คูบุรัตถ์ เรียนจบ ป.ตรี,โท จากวิศวะกรรมคอมพิวเตอร์จุฬา พอจบแล้วก็ทำงานเป็น Consultant ให้กับ Accenture อยู่หนี่งปีก่อนออกมาเรียนต่อโท Computer Science ในอเมริกาที่ University of Wisconsin - Madison ด้วยทุนของตัวเอง ระหว่างเรียนอยู่ได้ฝึกงานกับ Facebook แล้วก็ได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานต่อตอนฝึกงานจบ ก็เลยได้อยู่กับ Facebook ตั้งแต่นั้นมาจนตอนนี้ก็ทำมาได้ 2 ปีครึ่งแล้ว  
 ตำแหน่งตอนนี้ที่ทำอยู่ที่ Facebook คืออะไร และ scope งานดูแลส่วนไหน
เป็น Software Engineer อยู่ในแผนก Service Infrastructure ซึ่งมีหน้าที่สร้างและดูแลระบบส่วนกลางที่ใช้รองรับระบบหลังบ้านอื่นๆใน Facebook 
ก่อนอื่นต้องเริ่มจากอธิบายระบบของ Facebook นั้นถ้าจะอธิบายอย่างคร่าวๆ ก็จะประกอบด้วยตัวหน้าเว็บซึ่งทำหน้าที่แสดงผล โดยจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือถ้าเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนก็จะมีระบบอื่นหลังบ้านทำหน้าช่วยประมวณผล เช่น New Feed, Graph Search เป็นต้น 
เนื่องจาก Facebook มีจำนวนผู้ใช้ที่สูงมาก ระบบหลังบ้านก็ต้องมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ทำให้ระบบเหล่านี้ต้องเจอกับปัญหาในการจัดการและดูแลคล้ายกัน ทีมผมจึงมีหน้าที่สร้างและดูแลเครื่องมือที่ทำให้พนักงานคนอื่นๆ สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาเหล่านี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องแก้ปัญหาเดิมๆซ้ำๆกัน จะได้มีเวลาไปใช้ในการสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับ Facebook แทน
ถ้าเป็นองค์กรทั่วไปๆก็คงคล้ายๆกับแผนก IT ที่คอยดูแลระบบส่วนกลางเช่นพวก email เป็นต้น เพียงแต่ที่นี่ทีมผมจะเน้นไปที่การมองหาว่าอะไรคือปัญหาที่พบบ่อยแล้วจึง สร้างระบบใหม่ๆขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านั้น แทนการซื้อระบบจากข้างนอกเข้ามาใช้
<ระบบหลังบ้านที่รองรับผู้ใช้ที่มากมายของ facebook>
สมัครที่อื่นที่ไหนไปบ้างและทำไมถึงเลือก Facebook
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าจริงๆแล้วตั้งใจจะมาเรียน ป.โท-เอก ที่นี่ แต่ช่วงเรียนอยู่อยากออกมาฝึกงานเอาประสบการณ์และเงินรายได้เสริม เลยสมัครไปที่ใหญ่ทั้งหมด เช่น Microsoft, Google และ Facebook แต่มีแค่ที่ Facebook เท่านั้นที่รับเข้าฝึกงาน  อาจารย์ที่ปรึกษาเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะอยากให้เราฝึกงานกับบริษัทที่ทำงานด้านวิจัยมากกว่าเพื่อประโยชน์กับ การศึกษาของเรา แต่พอได้เข้าฝึกงานจริงก็รู้สึกสนุกกับงานมาก ได้ทำงานกับระบบใหญ่ๆ ได้สร้างสิ่งที่เขาเอาไปใช้งานจริง มีเพื่อนร่วมงานที่รักในการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรที่น่าประทับใจ  พอได้รับข้อเสนอให้เป็นพนักงานตอนฝึกงานเสร็จ เลยคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาและคนอื่นๆ บวกกับตอนนั้น Facebook กำลังจะเข้าตลาดหุ้น เลยทำให้ตัดสินใจออกจากโปรแกรมที่เรียนอยู่กลางคันด้วยวุฒิ ป.โท แล้วออกมาทำงานเลย 
 แล้วเข้ามาแล้ว Facebook มันเจ๋งอย่างที่คิดเอาไว้มั้ย?
ตื่นเต้นมากเพราะรู้สึกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเต็มไปหมด มีโรงอาหารบริการข้าวสามมื้อ เมนูอาหารเปลี่ยนไปในแต่ละวัน มีน้ำและขนมให้หยิบกินตลอดทั้งวัน (แค่นี้ก็ได้ใจไปกว่าครึ่งแล้วเพราะตอนเรียนป.เอก แค่จะได้กินของฟรีก็ต่อคิวยาวหรือรีบวิ่งไปเอาก่อนของหมด) นอกจากนี้ก็มีบริการร้านตัดผม ร้านซักผ้า มีบริเวณพักผ่อนที่มีทีวีและเครื่องเกมให้เล่น  
<ที่จอดรถพลังงานไฟฟ้า, ห้องเล่นเกมตู้, valet parking ให้พนักงาน, บริการซักอบรีด>
ตัวผมเองได้มีอุปกรณ์ส่วนตัวที่เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ใช้เป็นครั้งแรก พวก MacBook หรือ iPhone ก็ตอนมาเข้าฝึกงานที่บริษัทนี่แหละ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเขาลงทุนกับพนักงานของเขามาก เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้มีไว้เพื่อให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลา ไปกับการเดินทางไปทำธุรข้างนอก แล้วจะได้เอาเวลามาให้กับบริษัทแทน แม้แต่ตอนที่เข้ามาฝึกงานก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติเหมือน พนักงานทั่วไป แถมดูแลดีกว่าอีกด้วยซ้ำเพราะเขาจัดหาที่พักใ้ห้ มีกิจกรรมให้ทำ เช่น ให้ไป BBQ Party ที่บ้านใหม่ของมาร์ค เป็นต้น 
ตอนที่ไป Party ที่บ้านมาร์ค เขาห้ามขอถ่ายรูปกับมาร์ค เลยไปขอถ่ายรูปกับหมาของมาร์คที่ชื่อว่า Beast แทน (ใน Facebook's Messenger จะมีชุด sticker ของ Beast อยู่ด้วย)
ตัวพนักงานเองก็มีอิสระค่อนข้างมากในการทำงาน การจะสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาก็ไม่จำเป็นต้องรอความเห็นจากผู้บริหารหรือคนแผนก อื่น ถ้าต้องการขอ Server มาใช้งานก็ทำได้เองทันทีหากจำนวนเครื่องที่ต้องใช้ไม่เยอะมาก เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยมี Process มาค่อยขัดขวางการทำงานของเรา
 พูดถึง Mark Zuckerburg ซักนิดนึง
<ภาพตอนที่มาร์คเข้าพบบารัค โอบามาเพื่อรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน : wikipedia>
มาร์คเป็นคนค่อนข้างติดดินมากๆ โต๊ะทำงานก็เป็นแบบเดียวกับที่พนักงานทั่วไปใช้ นั่งรวมกับทุกคนรวมทั้งผู้บริหารอื่นๆไม่ได้มีห้องทำงานส่วนตัวแยกออกไป รถที่ใช้ก็ไม่ได้เป็นรถ sport สวยๆหรือนับว่าเป็นรถหรูด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นหลังบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้วก็ตาม เคยได้ยินว่าเมื่อก่อนก็อยู่ apartment โทรมๆจนแผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทมาขอให้ย้ายไปอยู่ที่ๆดีขึ้นเพื่อ เพิ่มความปลอดภัย  
เรื่องตลกที่มักเล่ากันแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็คือ เคยมีครั้งหนึ่งที่เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นในบริษัทแล้วมาร์คต้องการส่ง memo ถึงทุกคนเพื่อพูดถึงเรื่องนี้  แต่ใน email ที่มาร์คส่งนั้นดันใช้หัวข้อจดหมายว่า Please leave (กรุณาลาออก) ตอนนั้นทำให้หลายคนในบริษัทตกใจ บางคนที่อ่านแค่หัวจดหมายแถบจะนึกว่าตัวเองถูกไล่ออกจริงๆ แล้วก็เริ่มเตรียมเก็บของกันเลยทีเดียว
(เมื่อตอนที่ไปเดินเล่นใน Facebook ก็เจอมาร์คซัคเขานั่งอยู่ในห้องประชุมกระจก มองเห็นได้ง่ายๆ พอประชุมเสร็จก็เห็นมานั่งตรงโซฟา เรียกว่าเข้าถึงตัวได้ง่ายมากจริงๆ )
จุดเด่นของออฟฟิศ Facebook เมื่อเทียบกับ Office บริษัทอื่นๆใน Silicon Valley?
 
<Menlo Park Campus - ปัจจุบันเป็น HQ ของ Facebook ซึ่งเดิมเคยเป็นของ Sun Microsystem มาก่อน> 
 
<ภาพจาก Hacker square  ซึ่งเป็นลานกว้างกลาง Campus>
ตัว Office ของ Tech Company ในแถบนี้จะคล้ายๆกันแง่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่พูดถึงแต่จะมีแตกต่างกัน ไปในรายละเอียด เช่น Google อาจจะมีสระว่ายน้ำ Facebook มีหน้าผาจำลองให้ปีน Twitter มีเบียร์ให้กินตอนกลางวัน ส่วนใหญ่พนักงานจะมีส่วนช่วยในการเสนอว่าอยากให้มีอะไรเข้ามาเปิดให้บริการ ในบริเวณของบริษัท
 
 
<Micro kitchen - เป็นที่นั่งพักมีของกินต่างๆให้เลือก หรือทำเองก็ได้ เช่น กาแฟ หรือ Cereal>
 
 
 
แต่อีกสิ่งที่จะแต่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ Theme ของ office ซึ่งจะแฝงค่านิยมขององค์กรไว้ อย่างของ Facebook เอง การตกแต่งจะใช้ Theme ที่เรียกว่า Unfinished หลังคาจะไม่มีฝ้าทำให้เห็นท่อแอร์และสายไฟ ตัวพี้นหรือผนั้งจะทาสีง่ายๆหรือเป็นปูนเปลือย ไม่แน่จะว่าเกี่ยวกับ slogan อีกอันที่มักใช้กันบ่อยในบริษัท  คือ This journey is 1% finished หรือเพราะ office สมัยแรกๆเกิดจากการเช่าโรงงานมาทำเป็นสำนักงาน แม้แต่ office ที่เมืองอื่นที่ไปอาศัยเช่าอาคารอื่นก็ยังคงตกแต่งแบบเดียวกัน
 
<unfinished จริงๆ ขนาดป้ายบริษัทเมื่อไปดูด้านหลังยังเป็นของ Sun microsystems อยู่เลย>
อีกส่วนหนึ่งของ Theme ก็จะเป็นการวางโต๊ะทำงานที่จะอยู่ติดๆกันและไม่มีฉากกั้น หรือที่เรียกว่า Cubicle ซึ่งทำให้พนักงานสามารถคุยงานกันสะดวก บางครั้งเราจะได้ยินเพื่อนร่วมงานคุยงานกันใกล้ๆ แต่แล้วเราก็สามารถเข้าไปร่วมให้ความเห็นได้ด้วยซ้ำโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็น การกระทำที่ไม่เหมาะสม ส่วนการคุยธุระส่วนตัวก็เพียงแต่เดินไปหาห้องประชุมหรือที่ว่างใกล้ๆแทน
 ความแตกต่างของชีวิต Developer/Programmer ที่ US vs THA
ตอนอยู่ไทยก็ทำกับบริษัทที่มาจากเมืองนอกเลยทำให้มีบางอย่างที่คล้ายกับ ที่นี่ แต่ข้อหนึ่งที่รู้สึกว่าแตกต่างจนเห็นได้ชัดเจนก็คือคนที่นี่ เวลางานแล้วจะจริงจังกับงาน ขณะเดียวกันก็จะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ (Passionate) ซึ่งจะทำให้ได้ผลของงานที่ดี ในขณะที่เมืองไทยพนักงานไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำให้ไม่ได้ทำในสื่งที่ตัวเองถนัดหรือชอบ แล้วส่งผลให้บางครั้งสภาพแวดล้อมการทำงานและผลของงานด้อยลงไป ที่นี่หัวหน้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หากเราไม่สนุกกันงานแล้วก็สามารถขอย้ายงานได้จากหัวหน้าได้ไม่ยากนัก  
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ที่ Facebook คือการที่พนักงานทั่วไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจค่อนข้างมาก ผู้บริหารหรือหัวหน้าจะมีหน้าที่ตั้งกรอบหรือเป้าหมายที่ควรทำ แต่ในขณะเดียวกันก็จะเคารพการตัดสินใจด้านเทคนิคจาก Engineer เพราะเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นรู้รายละเอียดมากกว่าคนระดับสูงขึ้นไป 
หลายครั้งงานต่างๆที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องจาก Engineer รู้สึกว่ามีปัญหาที่ควรจะต้องแก้ไขอยู่แล้วสามารถคุยกับหัวหน้าจนเห็นตรงกัน และพัฒนาจนกลายเป็นการสร้างสิ่งใหม่เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น
 จะกลับไทยมั้ย? ถ้ากลับไทยมาอยากทำอะไร?
คิดว่าอยากจะกลับถ้ามีโอกาสที่เหมาะสม อยากเอาความรู้และประสบการณ์ที่เราได้จากการทำงานกับ Internet Company ขนาดใหญ่ไปใช้ในไทย เพราะรู้สึกว่ากระบวนการและแนวคิดมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้และพัฒนางานต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นระบบที่ใหญ่โตเหมือนอย่าง Facebook อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากทำให้ในไทยมีที่ๆทำงานดีๆและสนุกเหมือนอย่าง Facebook คนที่จบและชอบทำงานสายคอมพิวเตอร์จะได้มีที่ทำงานอยู่ในสายของตัวเองโดยไม่ ต้องย้ายไปทำงานสายอื่น  หรือต้องออกมาอยู่ต่างประเทศเพียงเพราะไม่มีสามารถหาความก้าวหน้าได้จากการ ทำงานในประเทศ พวกบริษัท Tech company ที่นี่มักจะมี career path ที่ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถโตในสายงานตัวเองไปเทียบเท่ากับ VP (Vice President) ได้โดยที่ไม่ต้องผันตัวไปเป็นผู้บริหาร 
 พูดถึงวัฒนธรรมขององค์กรของ Facebook ที่น่าสนใจ และน่านำเอาไปปรับใช้ที่ประเทศไทย
อย่างแรกต้องดูจาก Value หลักก็คือ Move Fast and Be Bold
Move Fast คือการบอกว่าเราจะเลือกที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆออกให้เร็ว แทนที่จะรอจนเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้วค่อยปล่อยของออกมาให้คนใช้ หรือการที่จะเลือกลด process หรืออำนวยความสะดวกต่างๆ ในองค์กรเพื่อให้คนสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกมาได้ง่าย ซึ่งจะคู่กับ Be Bold เพื่อจะต้องการบอกให้คนกล้าที่จะเสี่ยงเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ แม้ว่าอาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ตาม แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็จะไม่มีการชี้ไปที่ตัวบุคคล แต่จะมองว่าเป็นความผิดของระบบหรือกระบวณการทำงานซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ และแก้ไขกันต่อไป  ตอนสมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ Value เดิมจะเป็น Move Fast and Break Things แต่คนกลับคิดว่าควรจะต้องทำของพังจริงๆ
ตัวอย่างง่ายของการทำตามแนวคิดนี้ก็คือหน้าเว็บของ Facebook ซึ่งจะมีการออกเวอร์ชั่นใหม่ถึงวันละสองครั้ง ทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้รวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็จะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบพังบ่อยขึ้นเช่นกัน หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่เราก็เลือกที่จะสร้างสิ่งอื่นๆที่จะช่วยป้องกันหรือแก้ไข้ข้อผิดพลาดให้ ได้อย่างรวดเร็ว แทนจะเลือกลดความเสี่ยงโดยการไม่ทำอะไรเลยหรือทำช้าๆแทน
Be Open ก็เป็นอีกหนึ่ง Value ที่สำคัญ เราเลือกที่จะให้พนักงานรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในองค์กรเท่าๆกัน ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจภาพรวมที่กำลังเกิดขึ้นใน บริษัท และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำงานของแต่ละคน พูดง่ายๆคือภายในไม่ค่อยมีโครงการลับที่ไม่มีคนรู้ ทำให้แต่ละทีมสามารถตัดสินใจเรื่องแผนระยะยาวได้และเข้ากับทิศทางของบริษัท ขณะเดียวกันพนักงานก็จะมีความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆที่กำลังเกิด ขึ้นภายในเช่นกัน แต่สิ่งนี้ก็แลกมากับการที่อาจจะมีความลับของบริษัทหลุดเป็นบางครั้ง ซึ่งเราก็เลือกที่จะยึดแนวคิดนี้ เพราะโดยรวมแล้วมันส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รู้สึกว่าชอบทั้งหมด แต่ถ้าต้องให้เลือกสิ่งที่สำคัญ ก็คือการที่ทุกครั้งเมื่อมีข้อผิดพลาดแล้วไม่กล่าวโทษตัวบุคคล ในขณะเดียวกันก็ร่วมมือกันวิเครา์ะห์หาสาเหตุแล้วพัฒนาเพื่อไม่ให้ผิดพลาด ซ้ำซ้อน หากทำได้แค่นี้แล้วอย่างน้อยเราก็ไม่อยู่กับที่แล้วมีการก้าวหน้าตลอดเวลา
 Silicon Valley เป็นสวรรค์ของเหล่า Geek จริงมั้ย?
ชอบที่เขาให้ความสำคัญกับ Engineer มองว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ถ้าพูดติดตลกก็จะบอกว่าเป็นเหมือน hot chick (สาวๆที่เป็นที่ต้องการของหนุ่มๆ) ของเหล่าบรรดาบริษัทต่างๆ จะมีฝ่าย HR ของบริษัทอื่นๆส่งจดหมายมาหาอยู่เรื่อยๆ เราสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนงานได้ไม่ยากนักและมีโอกาสใหม่ๆเข้่ามาโดยตลอด
แบบจริงจังหน่อยก็จะบอกว่าถ้าชอบที่จะทำงานด้านนี้ก็จะยิ่งสนุกกับงาน เพราะก็จะมีเพื่อนร่วมงานเก่งๆ มีงานที่หน้าตื่นเต้นและหน้าสนใจให้ทำตลอดเวลา สถานะทางสังคมและรายได้ก็จะอยู่ในระดับที่ เรียกได้ว่าเป็นที่อิจฉาของคนทั่วๆไปเลยทีเดียว 
 เวลาสมัครเข้ามาทำงานที่ Facebook เค้าดูจากอะไรบ้าง
ความสามารถเป็นหลักแต่ภาษาก็ต้องอยู่ในระดับที่สื่อสารได้โดยไม่เป็น อุปสรรค ที่เหลือคือการหาโอกาสและช่องทางที่จะทำให้คนที่นี่ยอมรับและมองเห็น 
ยกตัวอย่างเพื่อนคนนึงที่มากจากรัสเซีย เขาเล่าว่าเขาเป็น expert ด้าน JavaScript และมีบล๊อกส่วนตัวที่เข้าเขียนเกี่ยวกับงานที่เขาทำ เข้าใจว่าคนใน Facebook ไปอ่านเจอแล้วถูกใจเลยทดลองเรียกมาสัมภาษณ์จนสุดท้ายได้ก็ข้อเสนอให้มาทำงาน ในอเมริกาแล้ว Facebook ก็จัดการเรื่อง visa และอื่นๆให้ 
 ถ้าเกิดว่ามีน้องๆอยากไปทำงานที่ Facebook บ้าง เค้าต้องทำยังไง
สมัยตอนที่ผมออกมาอเมริกา ช่วงนั้นโอกาสที่เด็กที่เรียนในไทยจะได้รับเข้าทำงานหรือฝึกงานโดยบริษัท เมืองนอกนั้นยากมากหรือแทบไม่มีเลย คนที่ได้ทำงานที่นี่มักจะเริ่มจากมาเรียนต่อเมืองนอกก่อน ถ้าได้มหาลัยดีๆบริษัทใหญ่ๆก็จะเข้าสอบสัมภาษณ์ถึงที่มหาลัย พอได้ฝึกงานแล้วโอกาสที่จะได้รับเข้าทำงานตอนเรียนจบก็จะตามมาถ้าเราทำได้ ดี 
แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจว่าเด็กรุ่นใหม่มีช่องทางอื่นๆให้เลือกอีกมาก เช่น การประกวด software หรือแข่งขันเขียนโปรแกรมในรายการระดับโลก บางรายการที่เป็นที่ยอมรับหรือบริษัทใหญ่ๆเป็น sponsor เราก็มีโอกาสจะถูกเรียกสัมภาษณ์ถ้าได้เข้ารอบลึกๆ 
เดี่ยวนี้โลกเปิดกว้างถ้าเรามีความเชี่ยวชาญและมีคนยอมรับ โอกาสก็จะเข้ามาหาเราเอง
 ภาพบางส่วนเพิ่มเติม
เวลามีใครไปหาพนักงานของ Facebook ก็จะใช้วิธีลงทะเบียนและพิมพ์บัตรด้วยการ login แล้วก็ tag พนักงานผ่าน Facebook ด้วย iPad บริเวณ reception ...เจ๋งมวากกกก
Company Store มีของเจ๋งๆน่ารัก คุณภาพโอเคขายเพียบ แต่ไม่สามารถซื้อกลับมาฝากได้จริงๆ เพราะแพงทุกชิ้น ^^
ใครที่บ้าถ่ายรูปแล้วได้ไป Facebook คงจะสนุก เพราะว่าที่ออฟฟิศเค้ามีการให้ศิลปินเข้ามาสร้างสรรค์งานศิลปะอยู่เรื่อยๆ ผนังของบริษัทจึงเต็มไปด้วยงานศิลป์สวยๆให้ได้ชื่นชมและถ่ายรูปตลอดเวลา
มีเฟซบุ๊ควอลล์จริงๆให้เขียนด้วย เลยมาขอเจิมซะหน่อย 
ถ้าเทียบบรรดาบริษัทเทคที่ได้ไปเยี่ยมเยียนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (Google, Apple, Facebook, Twitter) ต้องบอกว่า Facebook คงเป็นบริษัทที่ประทับใจที่สุดในทุกบริษัททั้งเรื่องการตกแต่งและบรรยากาศ การทำงาน ดูชิค มีพลัง และยังเป็นวัยรุ่นอยู่มาก เรียกว่าแอบอยากเขียนโค้ดเป็นแล้วสมัครไปทำงานที่นี่เลยทีเดียวล่ะครับ 
อ้างอิง 
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
โดยคุณ: Gimme

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เครื่องชงกาแฟ NESCAFÉ Red Cup สัมผัสรสชาติพรีเมี่ยม

เครื่องชงกาแฟ NESCAFÉ Red Cup สัมผัสรสชาติพรีเมี่ยม ได้ทุกช่วงเวลา เหมือนมีบาริสต้ามาอยู่ในบ้าน
          เพิ่งมีข่าวหลุดๆ ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับเจ้าเครื่องชงกาแฟไซส์มินิปริศนา ความเร็วมหัศจรรย์ เพียง 1.4 นาที ก็ได้ แก้วโปรดอุปกรณ์ที่ควรค่าแก่มนุษย์ยุคดิจิตอล ที่ชอบเอาเร็วเข้าว่า แม้เวลาไม่ค่อยจะมี แต่ขอเลือกจิบกาแฟดีๆ รสชาติเลอค่า ไว้ก่อน!!
          ล่าสุดค่ายดัง ก็อดใจเก็บกลั้นความเจ๋งของไอเท็มตัวนี้ไม่ได้ จึงขอประกาศกร้าว launch เครื่องชงกาแฟปริศนาออกมาขโมยซีน gadget ทุกสำนัก ชื่อเต็มๆ ก็คือ NESCAFÉ Red Cup ออกตัวว่าเป็น เครื่องชงกาแฟ ไซส์มินิตามมาดูกันเลยดีกว่าว่า ความ cool จะน้อยนิดไปด้วยไหม?
First Impression
แรกพบ NESCAFÉ Red Cupตัวนี้บรรจุอยู่ในกล่องกันกระแทก ที่ทำให้อุทานออกมาอย่างเผลอตัวว่า สิ่งนี้เล็กมินิ ตรงไหน? แต่ภายหลังจากเลาะแกะกล่องหยิบขึ้นมา แสงทับทิมแดงฉานก็เตะลูกในตา พร้อมกับขนาดความสูงที่เท่าๆ กับแท็บเล็ตเครื่องนึงเท่านั้น ให้รู้สึกปลื้มปริ่มอย่างมาก สวย น่ารัก ฟรุ้งฟริ้ง อะไรเช่นนี้ ไม่รอช้าจัดการเทสก์กาแฟ เพื่อให้เข้าคอนเซ็ฟต์เน้นเร็วเข้าว่าทันที
Homemade Coffee
โดยนอกเหนือจากเครื่องโพลิเมอร์ชนิดพิเศษน้ำหนักเบาแล้ว ยังมีอะไหล่ประกอบที่ง่ายต่อการติดตั้ง ง่ายต่อการแยกประกอบ ที่ไม่ต้องอาศัยสกิลช่างใดๆ ทั้งสิ้น ก็เชื่อว่าคุณสามารถสามารถใช้ NESCAFÉ Red Cup นี้ได้อย่างง่ายดาย
การใช้งานครั้งแรก
Step 1 เตรียมเครื่องชงกาแฟ
ถอดถังน้ำด้านหลังที่สามารถบรรจุน้ำได้ราว 0.9 ลิตร เติมน้ำ แล้วประกอบกลับเข้าที่หลังเครื่อง จากนั้นต่อตระแกรงรองน้ำกับถาดรองน้ำเข้าด้วยกัน ติดเข้ากับตัวเครื่องอย่างแผ่วเบา สิ่งที่ชอบอย่างหนึ่งมากๆ ของ NESCAFÉ Red Cup ก็คืองานประกอบอะไหล่ที่ง่ายและแข็งแรงกว่าที่คิด เพราะต้องรองรับพลังเทอร์โบของหัวฉีด Jet ตีฟองความแรงระดับสูงที่ฉีดลงมาสร้างฟองฟูนุ่ม
Step 2 พร้อมชง
หาพื้นที่ แล้วเสียบปลั๊ก NESCAFÉ Red Cupกินไฟสูงสุดอยู่ที่ 1500 วัตต์ เบาๆ หลังจากเตรียมแก้วกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป เนสกาแฟเรดคัพ เนสเล่ท์ คอฟฟีเมต และน้ำตาลนิดหน่อยแล้ว จัดการกดไปที่ปุ่มเปิดไฟสีแดง รอประมาณ 40 วินาทีก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ความหมายคือ I'm Ready!!
เข้มๆ หอมกรุ่น แบบ Espresso
นุ่มๆ กับ Cappuccino
Step 3 สร้างรสชาติพรีเมี่ยมในแบบคุณ
จัดการตัก กาแฟสำเร็จรูป เนสกาแฟเรดคัพ ลงช่องผสมกาแฟ เติมเนสเล่ท์ คอฟฟีเมต ในแก้วตามใจอยากแล้ววางบนถาด โดยผลักแก้วให้ชิดด้านในสุด บิดปุ่มปฏิบัติการณ์ไปที่เมนูตีฟอง เพื่อทำฟองครีมหนานุ่มจากเนสท์เล่ คอฟฟีเมต รอน้ำฉีด 2 ครั้ง เมื่อได้ฟองครีมจนพอใจ บิดกลับไปที่ Stop หลังจากนั้นบิดไปทางขวาเพื่อให้น้ำไหลเข้าไปสู่ ช่องใส่กาแฟ(Mixing chamber )ภายในจะสร้างให้เกิด cyclone ในนั้นเพื่อดึงกลิ่นและรสชาติของกาแฟออกมา เพิ่มรสสัมผัสในนุ่มละมุนลิ้นยิ่งขึ้น และยังสร้างฟองครีมละเอียดสีทองนุ่ม หอมกรุ่น ได้อีกด้วยหลังจากนั้นกาแฟค่อยๆไหลลงในแก้วจะสามารถ เห็นชั้นกาแฟ ได้อย่างชัดเจน สวยงามอลังการ จากนั้นหมุนกลับมาที่ Stop เพียงเท่านี้คุณก็ได้คาปูชิโนน่าดื่มหนึ่งแก้ว ภายในเวลาน้อยกว่า 1.40 นาที ด้วยซ้ำ เร็วกว่าเปิดคอมพิวเตอร์อีก o_O
ขอบอกนิดนึงว่า ฟองครีมที่ได้นั้นนุ่มลิ้นอย่างมาก ส่วนรสชาตินั้นแล้วแต่ว่าใครจะชอบเข้มหรือหวาน แต่สำหรับเรา มีแค่กาแฟสำเร็จรูป เนสกาแฟเรดคัพ เนสเล่ท์ คอฟฟีเมต และเครื่องชงกาแฟ NESCAFÉ Red Cup ทุกแก้วก็กลายเป็นแก้วโปรดได้ในทันที!!

Strengths
  • เครื่องขนาดพอดี ง่ายต่อการพกพา
  • วัสดุแข็งแรง หัวประกอบอะไหล่ทำได้แน่น แม้จะต้องถอดออกบ่อย
  • End Cup ที่สามารถสร้างได้หลากหลายทั้ง คาปูชิโน่ เอสเปรสโซ หรือ ลาเต้
  • เครื่องทำงานเร็วมากเพียง 1.40 นาที
  • และเร็วกว่านั้น หากคุณอย่ากได้เอสเปรสโซ เข้มๆ สักแก้วก่อนไปทำงาน
  • สามารถสร้างสรรค์เครื่องดื่มอื่นๆ ได้อย่างน่าประทับใจ
Weakness
สำหรับมือใหม่ อาจจะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงช่วงปั่นฟอง ซึ่งก็กินเวลาเพียง 40 วินาทีเท่านั้น หลังจากใช้เครื่องแล้วไม่ควรทิ้งไว้จนกากกาแฟ หรือ ตะกรันขึ้น ควรหมั่นทำความสะอาด สามารถปฎิบัติขั้นตอนการล้างหากเกิดคราบตระกรันได้ตามลิ้งค์ด้านล่าง
การทำความสะอาด
การล้างคราบตะกรัน
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

“โนเกีย 130” ราคา 800 กว่าบาท จับกลุ่มคนใช้มือถือเครื่องแรก

ราคา 800 กว่าบาท จับกลุ่มคนใช้มือถือเครื่องแรก
          รายงานข่าวแจ้งว่า ไมโครซอฟท์ ได้ต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์มือถือด้วยการเปิดตัวมือถือราคาย่อมเยา Nokia 130 ราคาเพียง 19 ยูโร  หรือประมาณ 800 บาท (42.5 บาท/1 ยูโร) เพื่อเปิดโอกาสให้คนหลายล้านคนทั่วโลกเข้าถึงการโลกดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยระบุว่าเครื่องรุ่นนี้เป็นศูนย์รวมสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผู้ซื้อมือถือครั้งแรกมองหา ดีไซน์สวยงาม และตอบสนองการใช้งานด้านความบันเทิงด้วย

มีโปรแกรมเล่นเพลงและวิดีโอที่ติดตั้งมาพร้อมในเครื่อง เล่นได้นานติดต่อกัน 46 ชั่วโมงด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว และเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในแต่ละวัน อาทิ ไฟฉาย วิทยุ FM และการชาร์จไฟผ่าน USB

Nokia 130 เหมาะกับผู้ซื้อมือถือครั้งแรก หรือผู้ที่มองหาโทรศัพท์สำรองเพื่อทำงานเสริมกับสมาร์ทโฟนที่มีอยู่ หน้าจอสีขนาด 1.8 นิ้ว แบตเตอรีที่อยู่ได้นาน 36 วันในโหมดสแตนด์บาย สำหรับรุ่นซิมเดียว และ 26 วันในโหมดสแตนด์บายสำหรับรุ่นสองซิม ถือเป็นดาวเด่นในบรรดามือถือราคาต่ำกว่า 35 ดอลลาร์ ซึ่งทุก ๆ ปีมีผู้ซื้อมือถือในกลุ่มนี้ถึง 300 ล้านเครื่อง

และเนื่องจากเป็นโทรศัพท์มือถือราคาย่อมเยาที่สุดเครื่องหนึ่งที่เล่นวิดีโอได้ Nokia 130 จึงสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแบบใหม่ ๆ ด้วยโปรแกรมเล่นวิดีโอนานสูงสุด 16 ชั่วโมงสำหรับวิดีโอที่จัดเก็บในการ์ด microSD ตลอดจนโปรแกรมเล่น MP3 และวิทยุ FM ขณะเดียวกันยังรองรับเนื้อที่เก็บข้อมูล microSD ที่เพิ่มขนาดได้สูงสุด 32 กิกะบิต พร้อมด้วยแอปพลิเคชั่น SLAM ที่ทำงานด้วยบลูทูธและการเชื่อมต่อ USB ทำให้แชร์คอนเทนต์ดิจิทัลง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ความต้องการในกลุ่มมือถือราคาย่อมเยานั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องไมโครซอฟท์จึงยังคงมุ่งมั่นที่จะมอบนวัตกรรมมือถือซึ่งเป็นผู้นำตลาดในทุกและแต่ละช่วงราคาโจ ฮาร์โลว์ รองประธานฝ่ายโทรศัพท์ของไมโครซอฟท์ คอร์ป กล่าว

มีการประมาณการกันว่ามีคนอย่างน้อย 1 พันล้านคนในโลกที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ความต้องการมือถือสำรองที่ไว้ใจได้ก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในตลาดที่อิ่มตัวและตลาดที่เติบโตสูง

สำหรับราคาขายปลีกแนะนำก่อนหักภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับNokia130 และ Nokia 130 Dual SIM อยู่ที่ 19 ยูโร คาดว่าจะเริ่มส่งสินค้าได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ใน จีน อียิปต์ อินเดีย อินโดนีเซีย เคนยา ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทิป 11 ข้อเพื่อความปลอดภัยในการเล่นเฟสบุ๊ค

ทิป 11 ข้อเพื่อความปลอดภัยในการเล่น
          ขณะที่เล่นเฟสบุ๊คทุกครั้งผู้ใช้จำนวนมากอาจจะยังไม่ทราบว่าตนกำลังให้ข้อมูลส่วนตัวสู่โลกสาธารณะมากแค่ไหน ซึ่งมันง่ายมากที่จะทำให้วายร้ายบนโลกออนไลน์เจาะเอาข้อมูลของคุณมาได้
เรามีทิปดีๆ 11 ข้อเพื่อให้คุณเล่นเฟสบุ๊คได้อย่างปลอดภัยอุ่นใจมากขึ้น ดังนี้
          1. อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่ วันเกิดหรือเบอร์โทรศัพท์บนหน้าเพจเด็ดขาดควรเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรกเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณจะมีเพียงเพื่อนและคนที่คุณรู้จักเท่านั้นที่สามารถเข้าไปดูได้
          2. ระวังข้อความที่เข้ามาในแชท บนหน้าวอลล์จากทุกคนแม้กระทั่งเพื่อนๆของคุณด้วยบางครั้ง account ของเพื่อนคุณอาจจะถูกแฮคแล้วส่งลิ้งที่นำคุณไปเข้าเวปแฝงมัลแวร์ให้เครื่องของคุณติดมัลแวร์แล้วเจาะเอาข้อมูลในเครื่องได้ หากข้อความที่ส่งมาดูแปลกๆควรถามเพื่อนตรงๆว่าเขาเป็นคนส่งมาจริงหรือเปล่า
          3.ถ้ามีเด็กๆเล่นเฟสบุ๊ค ควรให้ความเข้าใจกับพวกเขาเกี่ยวกับการขโมยข้อมูล identity ให้ดี คุณต้องมั่นใจว่าพวกเด็กๆเข้าใจเรื่องการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและการขโมยข้อมูล มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะพ่อแม่ต้องตั้งค่า account ของลูกๆให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้
          4.ตั้งพาสเวิร์ดที่แข็งแรงยากแก่การแฮค โดยใช้ตัวอักษรตัวเลขและสัญลักษณ์ผสมๆกันเพื่อให้ยากแก่การคาดเดา
          5. ถ้าเข้าเฟสบุ๊คผ่านการ remote ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบราเซอร์นั้นปลอดภัย ยิ่งถ้าต้องเข้าผ่านร้านอินเทอร์เน็ตหรือ free wifi ต้องเช็คความปลอดภัยที่ https ตรง address bar
          6. หมั่นอัพเดทเบราเซอร์ OS และแอนตี้ไวรัสอยู่เสมอ เมื่อแอนตี้ไวรัสเตือนให้อัพเดทคุณต้องอัพเดททันที เพราะหากมีผู้ไม่หวังดีโจมตีคุณทางโซเชียลมีเดียคุณยังมั่นใจได้ว่ามีเครื่องมือที่จะป้องกัน
          7. พิจารณาคนที่จะมาเป็นเพื่อนของคุณให้ดี คุณต้องมั่นใจว่ารู้จักคนๆนั้นก่อนที่จะรับแอดเพราะบางทีวายร้ายก็แฝงตัวเข้ามาขอเป็นเพื่อนคุณได้
          8. อย่าเปิดเผยข้อมูลเรื่องแผนการเดินทางของคุณ เพราะโจรสามารถสืบหาจากเฟสบุ๊คแล้วอาศัยช่วงที่คุณไม่อยู่เข้าไปปล้นบ้านคุณได้
          9.อย่าเปิดเผยพาสเวิร์ดกับใครแม้แต่เพื่อนและครอบครัว
          10.เปลี่ยนพาสเวิร์ดบ่อยๆ ควรเปลี่ยนพาสเวิร์ดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งเพื่อป้องกันการถูกแฮค
          11.หากมีแอพฯเก่าๆที่ไม่ได้ใช้งานแล้วควรลบทิ้ง แอพฯในเฟสบุ๊คสามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวของคุณไว้แล้ว track ย้อนหลังได้เหมือนกัน
รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมเอาไปใช้ดูนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง

สนับสนุนเนื้อหา: www.mindterra.com
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com